เมนู

สัพพทินนอำมาตย์จึงทูกล่า ขอพระราชทานให้พระนาคเสนนิมนต์พระสงฆ์มาด้วย 10
องค์ อย่าให้เอามามากเลย
พระราชโองการตรัสว่า สัพทินนะเอ่ย อย่าบังคับเลย ตามในท่านจะมาเถิด สัพพทินน-
ของที่จะเลี้ยงพระภิกษุนี้สินไปไม่มีหรือประการใด ท่านจะเจ้ามาเท่าไรตามใจท่าน โภชนา
อาหารในราชฐานของเรามีเป็นนักเป็นหนา จังหันจะไม่พอเพียงที่จะเลี้ยงท่านหรือประการใด
สัพพทินนะฟังพระราชโองการก็ก้มหน้านั่งนิ่งอยู่ หารู้ที่จะรู้ทูลทัดขัดพระราชโองการไม่
ส่วนอำมาตย์ทั้ง 4 ได้สวนาการฟังกระแสพระราชโองการฉะนี้ อำมาตย์ทั้ง 4 คือ
สัพพทินนะ เนมิตติยะ เจ้าอังกุระและเจ้าอันตกายะ ก็พากันถวายบังคมลาลุกมาขมีขมัน
มิทันใดก็ถึงอสงไขยบริเวณ จึงเข้าไปสู่สำนักพระนาคเสน องค์เอกอเสกขบุคคล นิมนต์พลันว่า
ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มีพระราชโองการให้กระหม่อมฉันมานิมนต์พระเจ้าให้เข้าไป
ฉันยังนิเวศน์วังใน กับภิกษุบริวารมากเท่าใดก็ตามน้ำใจพระผู้เป็นเจ้าจะพาเข้าไปในกาลบัดนี้
อถ โข อายสฺมา นาคเสโน ขณะนั้นพระนาคเสนองค์พระอรหันต์อันมีอายุมิ่งมงกุฎ-
โมลีโดยฟังอำมาตย์ทั้ง 4 อาราธนา ปตฺตจีวรมาทาย ก็นุ่งสบงทรงจีวรมีพระกรจับบาตร
พาสงฆ์แปดหมื่นลีลาศมาเป็นอันดับกัน ปุพฺพณฺหสมเย แต่เพลาเข้าพระผู้เป็นเจ้าก็เจ้าสู่พระ
ราชธานี ฝ่ายอำมาตย์ทั้ง 4 ก็ตามไปด้วยกัน

อันตกายปัญหา ที่ 4


อันตกายอำมาตย์นั้น จึงถามปัญหาพระนาคเสนองค์เอกอรหันต์ว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้
เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าววานนี้ว่า ชื่อของพระผู้เป็นเจ้าชื่อนาคเสน แต่ว่าชื่อนาคเสนนี้มิได้
จัดเป็นสัตว์เป็นบุคคล นี่แหละข้าพเจ้ายังสงสัย พระนาคเสนจึงถามอันตกายะไปว่า ท่านเข้า
ใจว่าอะไรชื่อนาคเสน
อันตกายะจึงกล่าววาจาว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเข้าใจว่าลมหายใจเข้าออกใน
กายนี้ยังมีอยู่ตราบใด ก็ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ เหมือนอย่างพระผู้เป็นเจ้าฉะนี้มีชีวิตอยู่ได้ว่านาคเสน

ขณะนั้นพระนาคเสนจึงถามว่า ดูกรอำมาตย์ อาตมาจะถามท่าน ถ้าแม้ว่าลมระบาย
หายใจออกจากกายมิได้กลับเข้าภายในกาย คน ๆ นั้นจะตายหรือว่าหามิได้
อันตกายอำมาตย์จึงว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ลมไม่เข้าไปภายในกาย ลมออกไป
ภายนอกกายไม่กลับเข้าไปในกายแล้ว ผู้นั้นก็ตาย
พระนาคเสนองค์อรหันต์ท่านจึงว่า ถ้าฉะนั้น ดูกรอันตกายะ คนที่เป่าแตรเป่าสังข์ทั้ง
หลาย ลมออกนอกกาย จะมิตายสิ้นหรือ
อันตกายอำมาตย์ว่าไม่ตาย
พระนาคเสนองค์อรหันต์จึงว่า ดูกรอันตกายะ เหมือนช่างทองทั้งหลายเป่ากล้อง
ประสานทองก็ดี คนพวกนี้ลมออกนอกกายไม่กลับเข้าในกายนี้ จะตายหรือประการใด อนึ่งเล่า
คนที่เป่าปี่กระนี้จะมิตาย
อันตกายะจึงว่าไม่ตาย
พระนาคเสนจึงว่า ดูกรอันตกายะ เออท่านสิว่าลมออกนอกกายไม่เข้าไปภายในกาย
แล้วก็ตาม ก็ทำไมคนทั้งหลายที่เป่าแตรและเป่าสังข์ คนทั้งหลายที่เป่ากล้องประสานทองและ
คนที่เป่าปี่ คนทั้งหลายนี้ลมออกนอกกายจึงไม่ตายเล่าเพราะเหตุอย่างไร
อันตกายะก็จนใจไม่รู้ที่จะแก้ไข จึงว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ นิมนต์พระ
ู้ผู้เป็นเจ้าแก้ไขออกให้แจ้งเถิด ข้าพเจ้ารู้อะไรจะไปตอบโต้ถ้อยคำกับพระผู้เป็นเจ้าเล่า
ครั้งนั้นพระนาคเสนจึงว่า ดูกรอันตกายะ ท่านว่าลมนี้คือลมหายใจเข้าอก ลมหายใจ
เข้าออกนี้เป็นกายสังขาร
อันตกายะจึงถามพระนาคเสนว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กายสังขารตั้งอยู่ที่ไหน
พระนาคเสนจึงบอกให้ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กายสังขารตั้งอยู่ในขันธ์ ว่าแล้วเท่านั้น พระ
นาคเสนก็สำแดงธรรมเทศนาแก้ไขให้อันตกายอำมาตย์ฟัง
อันตกายะตั้งใจสวนาการไป ก็มีจิตเลื่อมใสโสมนัสศรัทธาเคารพพระศรีรัตนตรัยเป็น
อุบาสกในพระศาสนา
ตกว่าพระนาคเสนว่า ลมอัสสาสะปัสสาสะคือลมหายใจเข้าออกนี้เป็นกายสังขาร ถ้า
แหละท่านทายกไม่เข้าใจว่ากายสังขารนี้คือลมบำรุงกาย นัยหนึ่งว่าลมหายใจเข้าออกนี้เป็นรูป

เนื่องมาแต่มหาภูตรูปคือวาโยธาตุ ลมหายใจเข้าออกนี้เรียกว่ากาย จะถือว่าเป็นชีวิตนั้นไม่ควร
และกายสังขารคือลมหายใจเข้าออกนี้ก็ตั้งอยู่ในขันธ์ทั้ง 5 มีรูปขันธ์เป็นต้น อธิบายทั้งนี้จะให้
เข้าใจว่ากายสังขารนี้เป็นชื่อแห่งลมหายใจเข้าออก โลกย่อมพูดกันว่าเราท่านทุกวันนี้ มีลมหายใจ
เข้าออกอยู่ก็ว่าคนและคำอันนี้ว่าแต่พอจะให้เห็นพระทุกขังพระอนิจจังพระอนัตตา แต่ว่า
ลมหายใจเข้าออกนี้จะถือว่ามีพร้อมกันอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นชีวิตนั้นไม่ได้ เป็นแต่บำรุงกาย
บำรุงชีวิตและลมหายใจ จะเป็นชีวิตหามิได้
อันตกายปัญหา คำรบ 4 จบเท่านี้

ปัพพชาปัญหา ที่ 5


อถ โข นาคเสโน

อันดับนั้นแท้จริง เมื่อพระนาคเสนผู้มีอายุ มิ่งมงกุฎวิสุทธิสงฆ์
องค์อรหันต์ เทศนาโปรดอันตกายอำมาตย์แล้ว ก็ดำเนินลีลาศเข้าสู่พระนิเวศน์วังใน เสด็จขึ้น
ไปบนปราสาท นิสัชนาการนั่งเหนือปัญญัตตาอาสน์กับพระภิกษุแปดหมื่น
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นพิภพขึ้นชมพูทวีป ก็ทรงรับรัดเร่งให้ปรนนิบัติด้วยโภชนียะ
ของเคี้ยวของกัดดูดดื่มอันประณีตบรรจง ยังพระนาคเสนกับพระภิกษุสงฆ์ให้อิ่มหนำสำราญแล้ว
สมเด็จบรมบพิตรก็ถวายไตรจีวรให้ทั้งแปดหมื่นแล้ว ก็มีพระทัยชื่นชมต่อบรมทาน จึงมีพระ
ราชโองการให้พระนาคเสนเอาภิกษุหนุ่มไว้แต่ 10 องค์ นิมนต์พระภิกษุมากกว่านั้นอันเฒ่า
แก่กลัวนั่งเจ็บหลัง นิมนต์กลับไปยังอสงไขยบริเวณ
ส่วนสมเด็จกรุงมิลินท์ก็จับเอาอาสนะนั่งใกล้พระนาคเสนองค์เอกอรหันต์ อายสฺมนฺตํ
นาคเสนํ เอตทโวจ
จึงมีสุนทรพจนารถราชโองการประภาษว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า มยํ
เราทั้ง 2 นี้จะสนมานาพาทีด้วยเหตุอันใดดี ในกาลบัดนี้
ฝ่ายพระนาคเสนเถรเจ้า จึงมีเถรวาจาถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราช-
สมภารผู้ประเสริฐ อามตากับมหาบพิตรนี้คิดวาจะสนทานกันที่เป็นประโยชน์ ขอถวายพระพร
ขณะนั้นกรุงมิลินท์ปิ่นประชากรมีสุนทรพจนารถราชโองการ ตรัสถามปัญหาเหมือน
อันถามแล้วในวันก่อนนั้นว่า ภนฺเต ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บรรพชาของพระผู้เป็นอุดมอย่างไร
บรรพชานี้จะให้ประโยชน์อะไร